จักรพรรดิ์ฉินซีฮ่องเต้ทรงมีพระนามว่า อิ๋งเจิ้ง เริ่มแรกเป็นกษัตริย์แห่งรัฐฉิน หนึ่งใน7รัฐในปลายสมัยจ้านกว๋อ ได้แก่ ฉิน หาน เว่ย ฉู่ จ้าว เอี้ยนและฉี รัฐฉินมีกำลังเข้มแข็งมากกว่ารัฐอื่นๆอีก6รัฐ จึงมีความพร้อมที่จะกลืน รัฐอื่นๆได้ ตั้งแต่ปี236จนถึงปี221ก่อน คริสต์ศักราชรัฐฉิน ค่อยๆผนวกเอาดินแดนทั้ง6รัฐรวมเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันและสถาปนาราชวงศ์ฉินขึ้น เป็นราชวงศ์แรกที่มีความเป็นเอกภาพ มีหลายชนชาติและใช้ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ อำนาจส่วนกลาง จากนั้น อิ๋งเจิ้งก็ได้สถาปนาตัวเองเป็นฮ่องเต้ หรือจักรพรรดิองค์ปฐมของราชวงศ์ฉินในปี221ก่อนคริสต์ศักราช.
เพื่อขจัดความกระด้างกระเดื่องของเชื้อพระวงศ์ 6 รัฐเดิม หลี่ซือ อัครมหาเสนาบดีเสนอแนะให้รวบอำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ฉินซีฮ่องเต้ ทรงเห็นชอบด้วย กล่าวโดยสรุปแล้วก็คือสลายระบบเจ้าผู้ครองนครรัฐ การใช้อำนาจรวมศูนย์อยู่ที่องค์จักรพรรดิหรือฮ่องเต้ แต่ผู้เดียว แบ่งเขตการปกครองราชอาณาจักรออกเป็น36เขตหรือจุ้น (ต่อมาเพิ่มเป็น42เขต) แต่ละเขตมีผู้ว่าการทั้งฝ่ายพลเรือนและทหาร และตำแหน่งผู้ตรวจการอีกตำแหน่งหนึ่ง แต่ละเขตหรือจุ้นยังแบ่ง เขตปกครองออกเป็นอำเภอหรือเสี้ยนรองลงมาเป็นตำบลและ หมู่บ้านเป็นต้น
นอกจากนั้น ยังได้ร่างและประกาศใช้กฏหมายให้เป็นเอกภาพ โดยยึดถือกฏหมายเดิมของรัฐฉินเป็นหลักและนำบางมาตราของ กฏหมายรัฐทั้ง6เข้ามาประกอบใช้ด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้เชื้อสายของรัฐเดิมทั้ง6ทำการเคลื่อนไหว โค่นล้มราชวงศ์ฉิน พระองค์จึงสั่งย้ายพวกเขาไปอยู่กวนจงหรือมณฑล ส่านซีในปัจจุบันและปาสู่หรือมณฑลเสฉวนในปัจจุบัน ขนาด รวบอำนาจไว้เช่นนี้แล้วก็ยังไม่วางพระทัย ฉินซีฮ่องเต้ทรงสั่งการให้ริบ อาวุธของรัฐทั้ง6นำไปทำลายและห้ามชาวบ้านครอบครองอาวุธด้วย
ทางด้านเศรษฐกิจ ฉินซีฮ่องเต้ทรงสนพระทัยการเกษตร แต่ไม่ได้ส่งเสริมการค้า ส่งเสริมการพัฒนาระบบกรรมสิทธิ์ส่วนตัวของที่ ดินแบบสังคมศักดินา ปี216ก่อนคริสต์ศักราช ฉินซีฮ่องเต้ทรงสั่งการให้เจ้า ของที่ดินและเกษตรกรที่ทำไร่ไถนาซึ่งได้ครอบครองที่ดินอยู่แล้วเพียงแต่แจ้งจำนวนที่ดินและเสียภาษีแก่รัฐบาลเท่านั้น รัฐบาลก็จะให้การ รับรองหรือคุ้มครองกรรมสิทธิ์ของพวกเขา จากนั้น จึงได้กำหนดระบบ กรรมสิทธิ์ส่วนบุคคลในที่ดินไว้ตั้งแต่บัดนั้น
เพื่อให้การปกครองทั่วทั้งอาณาจักรได้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิ ภาพและให้มีการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันได้โดยสะดวก ฉินซีฮ่องเต้ ทรงมีพระบรมราชโองการกำหนดให้ทั่วทั้งอาณาจักรใช้ภาษาหนังสือ มาตราชั่งตวงวัดเป็นมาตรฐานอย่างเดียวกันทั้งหมดและเพื่อให้สะดวกในการเคลื่อนย้ายกำลังทหาร การติดต่อคมนาคมและการสื่อ สารระหว่างกันภายในอาณาจักร ฉินชีฮ่องเต้ทรงบัญชาให้สร้าง ทางหลวงขึ้นรวมทั้งให้ขุดคลองเพื่อการคมนาคมทางน้ำด้วย หนึ่งในทางหลวงสำคัญสองสายเริ่มต้นจากเสียนหยางเมืองหลวงของ รัฐฉินมุ่งไปทางตะวันออก ผ่านมณฑลเหอเป่ยและ ซานตงในปัจจุบัน ไปสุดฝั่งทะเลตะวันออก ส่วนอีกทางหนึ่งตัดลง ทางใต้ ไปยังมณฑลเจียงซูและเจ้อเจียงในปัจจุบัน นอกจากนั้น ยังมีการสร้างถนนระหว่างมณฑลหูหนาน เจียงซี กว่างตุงและกว่างซี ในปัจจุบัน ตลอดไปจนถึงเขตที่อยู่ห่างไกล เช่นมณฑลหยูนหนานและ กุ้ยโจว นอกจากตัดถนนแล้ว ยังมีการขุดคลองหลิงฉวีในเขต ปกครองตนเองชนชาติจ้วงกว่างซีในปัจจุบันเพื่อเชื่อมกับแม่น้ำหลีเจียงและแม่น้ำเซียงเจียงในมณฑลหูหนานในปัจจุบัน
เนื่องจากฉินซีฮ่องเต้ทรงเกรงว่านักคิดปัญญาชนเรียนรู้ประวัติ ศาสตร์แล้วจะนำความรู้ที่เล่าเรียนมาคัดค้านการปกครองและทำให้ ประชาชนในอาณาจักรพลอยสับสนไปด้วย พระองค์จึงมีพระบรมราช โองการให้เผาทำลายหนังสือประวัติศาสตรที่บันทึกเรื่องราวของรัฐต่างๆ ทั้งหมด ยกเว้นประวัติศาสตร์ของรัฐฉิน และหนังสือว่าด้วยการแพทย์ การทำนายพยากรณ์และการเกษตร ตามข้อเสนอของหลี่ซือ เสนาบดี ของพระองค์ ส่วนใครที่ยังชอบวิพากษ์วิจารณ์ พระองค์ จะทรงถือเป็น การดูหมิ่นพระองค์อย่างรุนแรง ทรงมีบัญชาให้ดำเนิน การสอบสวน และท้ายสุด ให้ลงโทษด้วยการฝังทั้ง เป็นซึ่งมีจำนวนไม่ต่ำกว่า460คน นี่ก็คือเหตุการณ์เผาหนังสือฝังปัญญาชน ในประวัติศาสตร์จีนสมัยฉิน
ในสมัยจ้านกว๋อ ชาวซงหนูชนชาติที่เร่ร่อนอยู่ตามที่ราบ กว้างใหญ่ทางภาคเหนือและยังชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์นั้นชำนาญการ รบบนหลังม้ามาก พวกนี้มักจะยกกำลังมารุกรานปล้นสะดมตามพรม แดนด้านเหนือของรัฐฉิน จ้าวและเอี้ยน ทำให้รัฐเหล่านี้ต้องสูญเสียทั้ง ชีวิตผู้คนและทรัพย์สินอยู่เสมอ เจ้าผู้ครองทั้งสามรัฐดังกล่าวจึงได้ สร้างกำแพงเมืองขึ้นตามบริเวณชายแดนของรัฐตน เพื่อเป็น ปราการป้องกัน การรุกรานของพวกซงหนูหลังจากได้รวบรวมรัฐ ต่างๆเข้าเป็นอาณาจักรเดียวกันแล้ว ฉินซีฮ่องเต้จึงได้ส่งแม่ทัพหม่ง เถียนไปปราบปรามพวกซงหนูและเชื่อมต่อกำแพงระหว่างรัฐทั้ง สามเข้าด้วยกันและขยายออกไปทั้งทางตะวันตกและตะวันออกจากหลินเถา(ในอำเภอหมินเสี้ยนในปัจจุบัน)จนถึงเหลียวตงทางตะวันออกเป็น ระยะทางราว6,000กิโลเมตร เท่ากับ12,000ลี้ชื่อต่อมาเรียกกันว่า ว่านหลี่ฉางเฉิง หรือกำแพงหมื่นลี้ เป็นสิ่งมหัศจรรย์หนึ่งในเจ็ดของ โลก
หลังจากรวบรวมรัฐต่างๆเข้าเป็นเอกภาพแล้ว ฉินซีฮ่องเต้ก็เริ่ม ก่อสร้างวังเออผางและสุสานลี่ซานที่สง่างามยิ่ง พระองค์มีพระชน มายุมากขึ้นเท่าใดก็ยิ่งทรงกลัวตายมากขึ้นเท่านั้น พระองค์ พยายามเสด็จประพาสดินแดนต่างๆเพื่อเสาะหายาอายุวัฒนะหรือเพื่อ จะได้พบเซียนซึ่งเป็นผู้สำเร็จตามลัทธิเต๋า เชื่อกันว่า เซียนเป็นผู้วิเศษที่สามารถใช้เวทมนตร์คาถาหรือมียาอายุวัฒนะช่วยให้พระองค์ไม่แก่ชราหรือสิ้นอายุขัย แต่การกระทำเช่นนี้สิ้นเปลืองทั้ง กำลังทรัพย์และกำลังคนและไม่ทำให้พระองค์มีพระชนมายุยืนยาวดังหวัง หากกลับเพิ่มความทุกข์ยากแก่ประชาชน ในที่สุด ฉินซีฮ่องเต้ก็ ประชวรหนักและสวรรคตลงในเดือน กรกฏาคม ปี210 ก่อนคริสต์ศักราช